Login
Sign Up
OR
Forgotten Password
Login
This site is protected by reCAPTCHA and the Google Privacy Policy and Terms of Service apply.
English
中文
日本語
ID
Vietnam
한국어
Filipino
   Academy Menu

ค่าธรรมเนียม โบรกเกอร์ไหนดี รู้ไว้ก่อนเปิดบัญชีหุ้น!

การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมสำหรับการเปิดบัญชีหุ้นเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรพิจารณาอย่างละเอียด โดยเฉพาะในเรื่องของค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์ต่างๆ เรียกเก็บ การรู้จักและเข้าใจค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ต่างๆ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำที่สุดและเหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนของตนเองได้ บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ เพื่อให้คุณได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชีหุ้น

ค่าธรรมเนียมหลักที่ควรพิจารณา

ค่าธรรมเนียมหลักที่นักลงทุนควรพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์มีดังนี้:

  1. ค่าคอมมิชชั่น (Commission Fee): ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บสำหรับการซื้อขายหุ้นทุกครั้ง โบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำจะเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่มีการซื้อขายบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์อย่าง Interactive Brokers มีค่าคอมมิชชั่นที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์รายอื่น ทำให้นักลงทุนที่มีการซื้อขายถี่ ๆ ได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนในการเทรด

  2. ค่าธรรมเนียมการจัดการบัญชี (Account Management Fee): บางโบรกเกอร์มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการบัญชีรายเดือนหรือรายปี เช่น ค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชีที่มียอดเงินต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด โบรกเกอร์อย่าง Fidelity ไม่มีค่าธรรมเนียมในการจัดการบัญชีสำหรับลูกค้าที่มีการซื้อขายเป็นประจำ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น

  3. ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน (Withdrawal Fee): ค่าธรรมเนียมในการถอนเงินอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณา บางโบรกเกอร์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการถอนเงินออกจากบัญชีซื้อขาย แต่บางโบรกเกอร์ เช่น TD Ameritrade มีการให้บริการถอนเงินโดยไม่มีค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการเงินทุน

  4. ค่าธรรมเนียมสเปรด (Spread Fee): สำหรับนักลงทุนที่สนใจการเทรดหุ้นต่างประเทศหรือตลาดที่มีความผันผวนสูง ค่าธรรมเนียมสเปรดเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง โบรกเกอร์อย่าง eToro มีการกำหนดค่าธรรมเนียมสเปรดที่ชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถคำนวณต้นทุนการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ

กรณีศึกษาและตัวอย่างของโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ

โบรกเกอร์ Robinhood เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้บริการซื้อขายหุ้นโดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น ซึ่งได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการลดต้นทุนในการเทรด อย่างไรก็ตาม Robinhood มีรายได้จากการขายข้อมูลคำสั่งซื้อขายให้กับผู้ให้บริการสภาพคล่อง ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Payment for Order Flow (PFOF) แม้ว่าจะไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย แต่การดำเนินการตามคำสั่งซื้อขายอาจไม่รวดเร็วเท่าโบรกเกอร์ที่ใช้โมเดลธุรกิจอื่นๆ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Charles Schwab ที่ได้ปรับลดค่าคอมมิชชั่นลงเป็นศูนย์สำหรับการซื้อขายหุ้น ETF และออปชันในปี 2019 เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการลดต้นทุน แม้ว่าจะไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่ Charles Schwab ยังคงมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการบัญชีที่ไม่ใช้งาน ซึ่งนักลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมก่อนเปิดบัญชี

ข้อดีและข้อเสียของการเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ

การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำช่วยลดต้นทุนในการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำอาจมาพร้อมกับข้อเสีย เช่น การขาดแคลนเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ หรือการให้บริการที่ไม่ครบถ้วน การเลือกโบรกเกอร์ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากค่าธรรมเนียม เช่น ความน่าเชื่อถือ การบริการลูกค้า และเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีให้

ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ Fidelity ให้บริการที่ครบวงจรและมีเครื่องมือการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า Robinhood เล็กน้อย แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นใจในการวิเคราะห์และการให้บริการที่ดี Fidelity อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า

ข้อสรุป

การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมสำหรับการเปิดบัญชีหุ้นควรพิจารณาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์ต่างๆ เรียกเก็บ โบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำสามารถช่วยลดต้นทุนในการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการและเครื่องมือที่โบรกเกอร์เสนอให้เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนของตนเองได้อย่างดีที่สุด.

CONTINUE TO SITE