Login
Sign Up
OR
Forgotten Password
Login
This site is protected by reCAPTCHA and the Google Privacy Policy and Terms of Service apply.
English
中文
日本語
ID
Vietnam
한국어
Filipino
   Academy Menu

การบริหารความเสี่ยง ในการเทรด Forex ทำได้อย่างไร

การเทรด Forex เป็นวิธีการลงทุนที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการทำกำไรสูง อย่างไรก็ตาม การเทรดนี้ก็มีความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกคน บทความนี้จะสำรวจวิธีการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในการเทรด Forex โดยใช้ข้อมูลและกลยุทธ์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ

1. การกำหนดขนาดการลงทุนอย่างมีวินัย (Position Sizing)

การกำหนดขนาดของการลงทุนหรือการตั้งขนาด Position เป็นหนึ่งในวิธีการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ นักเทรดควรกำหนดขนาดการลงทุนในแต่ละคำสั่งเทรดให้เหมาะสมกับขนาดของบัญชีและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตัวอย่างเช่น นักเทรดที่มีบัญชีเทรดขนาดเล็กควรเลือกขนาด Lot ที่เล็กลงเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน

โบรกเกอร์อย่าง IC Markets และ Exness มีการเสนอประเภทบัญชีที่มีขนาด Lot ที่เล็ก เช่น บัญชี Micro และบัญชี Cent ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถกำหนดขนาดการลงทุนได้ยืดหยุ่นมากขึ้น การใช้บัญชีประเภทนี้สามารถลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในสกุลเงินที่มีความผันผวนสูงได้

2. การใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit (Stop Loss and Take Profit Orders)

การตั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit เป็นอีกหนึ่งวิธีการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญในตลาด Forex คำสั่ง Stop Loss ใช้เพื่อปิดการเทรดเมื่อราคาสกุลเงินเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ถึงระดับหนึ่งที่นักเทรดยอมรับได้ ส่วนคำสั่ง Take Profit ใช้เพื่อปิดการเทรดเมื่อราคาสกุลเงินถึงระดับที่นักเทรดต้องการทำกำไร

โบรกเกอร์เช่น Pepperstone และ XM มีแพลตฟอร์มการเทรดที่ให้บริการการตั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การตั้งคำสั่ง Stop Loss สามารถช่วยลดการขาดทุนและปกป้องกำไรที่ได้รับได้

3. การบริหารเงินทุน (Money Management)

การบริหารเงินทุนที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในตลาด Forex นักเทรดควรกำหนดแผนการจัดการเงินทุนที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น การกำหนดเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนที่สามารถเสี่ยงได้ในแต่ละคำสั่งเทรด หรือการใช้วิธีการเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น การใช้ Leverage ที่ต่ำ

ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ Exness มีการเสนอ Leverage ที่หลากหลายตั้งแต่ 1:50 ถึง 1:2000 นักเทรดที่เลือกใช้ Leverage ต่ำ เช่น 1:50 จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ Leverage สูง ดังนั้นการเลือกใช้ Leverage ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเทรดได้

4. การวิเคราะห์ตลาดอย่างต่อเนื่อง (Continuous Market Analysis)

การวิเคราะห์ตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดสามารถปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ การติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นวิธีการที่สามารถใช้ได้ในการทำความเข้าใจและคาดการณ์ทิศทางของตลาด

โบรกเกอร์เช่น FXTM และ HotForex มีเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ทันสมัยและรายงานข่าวสารที่อัปเดตเป็นประจำ ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคเช่น Fibonacci Retracement หรือ Bollinger Bands สามารถช่วยให้นักเทรดระบุแนวรับแนวต้านและจุดกลับตัวของราคาได้อย่างแม่นยำ

5. การลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (Hedging)

การ Hedging เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงิน โดยการทำการเทรดในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อป้องกันการขาดทุน เช่น การเปิด Position Buy และ Sell ในคู่สกุลเงินเดียวกันในบัญชีที่แตกต่างกัน

โบรกเกอร์อย่างเช่น OANDA และ IG Markets มีเครื่องมือ Hedging ที่หลากหลายสำหรับนักเทรด ซึ่งช่วยให้สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจที่มีผลกระทบสูง เช่น การประชุมของธนาคารกลาง นักเทรดสามารถใช้เทคนิค Hedging เพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดคิด

สรุป

การบริหารความเสี่ยงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้นักเทรดสามารถอยู่รอดและประสบความสำเร็จในตลาด Forex การใช้กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การกำหนดขนาดการลงทุน การตั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit การบริหารเงินทุน การวิเคราะห์ตลาดอย่างต่อเนื่อง และการใช้ Hedging จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่าง Forex