Login
Sign Up
OR
Forgotten Password
Login
This site is protected by reCAPTCHA and the Google Privacy Policy and Terms of Service apply.
English
中文
日本語
ID
Vietnam
한국어
Filipino
   Academy Menu

ซื้อหุ้นแล้วได้ผลตอบแทนอะไร?

การลงทุนในหุ้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการซื้อหุ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนในหุ้นยังคงเป็นที่สนใจของผู้คนในทั่วโลก แต่สิ่งสำคัญคือผู้ลงทุนควรเข้าใจประเภทของผลตอบแทนและวิธีการที่สามารถรับจากการถือครองหุ้นในระยะสั้นและระยะยาว

ในบทความนี้ เราจะสำรวจผลตอบแทนที่สามารถได้รับจากการซื้อหุ้น พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เห็นภาพรวมของการลงทุนที่ครอบคลุมมากขึ้น

1. กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น (Capital Gains)

กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น หรือที่เรียกว่า "Capital Gains" เป็นหนึ่งในผลตอบแทนหลักที่นักลงทุนได้รับเมื่อราคาหุ้นที่ถืออยู่เพิ่มขึ้น หากนักลงทุนซื้อหุ้นในราคาต่ำและขายในราคาที่สูงขึ้น ส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ขายคือกำไรที่ได้รับ

ตัวอย่างข้อมูลตลาด

ในช่วงปี 2021-2022 หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในตลาด Nasdaq เช่น Tesla และ Apple มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นของ Tesla เพิ่มขึ้นจากประมาณ 700 ดอลลาร์ต่อหุ้นในต้นปี 2021 ไปจนถึงจุดสูงสุดที่มากกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อหุ้นภายในเวลาไม่ถึงปี กำไรที่นักลงทุนได้รับจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่านี้แสดงถึงโอกาสในการทำกำไรจากตลาดหุ้นในช่วงเวลาที่ตลาดเติบโตอย่างแข็งแรง

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเพื่อหวังกำไรจาก Capital Gains ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากราคาหุ้นสามารถปรับลดลงได้ตามภาวะตลาด เศรษฐกิจ หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้น ๆ

2. เงินปันผล (Dividends)

เงินปันผลเป็นผลตอบแทนอีกประเภทหนึ่งที่นักลงทุนได้รับจากการถือครองหุ้นของบริษัท โดยบริษัทที่ทำกำไรได้มักจะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นระยะให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งจำนวนเงินปันผลที่จ่ายขึ้นอยู่กับผลประกอบการและนโยบายของบริษัท

สถิติการจ่ายเงินปันผล

บริษัทที่มีชื่อเสียงในการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น Procter & Gamble, Coca-Cola และ Johnson & Johnson มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ข้อมูลจากการศึกษาตลาดในปี 2022 พบว่า Procter & Gamble จ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 2.5% ของราคาหุ้นต่อปี ซึ่งแสดงถึงผลตอบแทนที่ดีสำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในระยะยาว

เงินปันผลเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้คงที่จากการลงทุนในหุ้น และไม่ต้องการพึ่งพากำไรจากการซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว

3. สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่ม (Stock Options)

นอกจาก Capital Gains และเงินปันผลแล้ว นักลงทุนบางรายอาจได้รับสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มเติมในราคาที่ลดลง (Stock Options) โดยทั่วไปจะมอบสิทธิ์นี้ให้กับพนักงานของบริษัทหรือนักลงทุนที่ถือหุ้นในบริษัทนั้น ๆ เป็นเวลานาน สิทธิ์นี้ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าตลาดและทำกำไรจากการขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้นได้

ตัวอย่างการใช้ Stock Options

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เช่น Facebook และ Google มักมอบ Stock Options ให้กับพนักงานเพื่อจูงใจในการทำงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท นักลงทุนที่มีสิทธิ์ซื้อหุ้นในราคาลดลงสามารถใช้ประโยชน์จาก Stock Options เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนระยะยาว

4. ผลตอบแทนจากการใช้สิทธิ์ในการโหวต (Voting Rights)

แม้ว่าการใช้สิทธิ์ในการโหวตจะไม่ใช่ผลตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับเงินโดยตรง แต่การถือหุ้นในบริษัททำให้นักลงทุนมีสิทธิ์ในการโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งสิทธินี้เป็นสิ่งสำคัญในกรณีที่นักลงทุนต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญของบริษัท เช่น การเลือกคณะกรรมการหรือการอนุมัติแผนการขยายธุรกิจ

ประโยชน์ของการใช้สิทธิ์โหวต

การมีสิทธิ์ในการโหวตช่วยให้นักลงทุนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบริษัท โดยเฉพาะในบริษัทที่มีนโยบายในการขยายกิจการหรือตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น การควบรวมกิจการ นักลงทุนสามารถใช้สิทธิ์นี้เพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านนโยบายที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้นในอนาคต

5. การเติบโตระยะยาวของบริษัท (Long-Term Value Growth)

สำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อบริษัทมีการเติบโตและขยายกิจการ มูลค่าของหุ้นมักจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นเป็นเวลานานได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต

ตัวอย่างการเติบโตระยะยาว

ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นของบริษัทอย่าง Microsoft และ Amazon มีการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในระยะเวลาหลายสิบปี ข้อมูลจากปี 2022 แสดงให้เห็นว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Microsoft เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% ซึ่งเป็นตัวอย่างของการเติบโตระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนที่มากมายแก่ผู้ถือหุ้นที่อดทนรอ

6. ผลตอบแทนจากการกระจายความเสี่ยง (Portfolio Diversification)

การลงทุนในหุ้นยังมีประโยชน์ในการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยการถือครองหุ้นจากหลายอุตสาหกรรม นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงที่เกิดจากการพึ่งพาสินทรัพย์ชนิดเดียวกัน การลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงแตกต่างกันจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุล

ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยง

ในปี 2020 นักลงทุนที่กระจายพอร์ตการลงทุนโดยการถือหุ้นในหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีและสุขภาพ ได้รับผลตอบแทนที่ดีแม้ในช่วงวิกฤต COVID-19 การมีสินทรัพย์หลากหลายในพอร์ตการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนที่มากเกินไปเมื่อบางอุตสาหกรรมประสบปัญหา

7. การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Hedge Against Inflation)

การลงทุนในหุ้นเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดหุ้นมักเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ การลงทุนในบริษัทที่มีการปรับราคาสินค้าและบริการตามอัตราเงินเฟ้อช่วยให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่างการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

ในปี 2022 ข้อมูลจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์มีการเติบโตสูงขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวอย่างของการที่หุ้นสามารถป้องกันความเสี่ยงจากการลดค่าของเงินสดได้

บทสรุป

การลงทุนในหุ้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่หลากหลาย ตั้งแต่กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น เงินปันผล สิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มเติม ไปจนถึงการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน การเข้าใจผลตอบแทนเหล่านี้และการเลือกหุ้นอย่างรอบคอบจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว

CONTINUE TO SITE