Exness: Premium Trading on Forex, Gold & Crypto. Your search for the BEST SPREAD ends here!
การลงทุนในหุ้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ ผลตอบแทนที่ได้รับจากการซื้อหุ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุนในหุ้นยังคงเป็นที่สนใจของผู้คนในทั่วโลก แต่สิ่งสำคัญคือผู้ลงทุนควรเข้าใจประเภทของผลตอบแทนและวิธีการที่สามารถรับจากการถือครองหุ้นในระยะสั้นและระยะยาว
ในบทความนี้ เราจะสำรวจผลตอบแทนที่สามารถได้รับจากการซื้อหุ้น พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เห็นภาพรวมของการลงทุนที่ครอบคลุมมากขึ้น
กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น หรือที่เรียกว่า "Capital Gains" เป็นหนึ่งในผลตอบแทนหลักที่นักลงทุนได้รับเมื่อราคาหุ้นที่ถืออยู่เพิ่มขึ้น หากนักลงทุนซื้อหุ้นในราคาต่ำและขายในราคาที่สูงขึ้น ส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ขายคือกำไรที่ได้รับ
ในช่วงปี 2021-2022 หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในตลาด Nasdaq เช่น Tesla และ Apple มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ราคาหุ้นของ Tesla เพิ่มขึ้นจากประมาณ 700 ดอลลาร์ต่อหุ้นในต้นปี 2021 ไปจนถึงจุดสูงสุดที่มากกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อหุ้นภายในเวลาไม่ถึงปี กำไรที่นักลงทุนได้รับจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่านี้แสดงถึงโอกาสในการทำกำไรจากตลาดหุ้นในช่วงเวลาที่ตลาดเติบโตอย่างแข็งแรง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นเพื่อหวังกำไรจาก Capital Gains ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากราคาหุ้นสามารถปรับลดลงได้ตามภาวะตลาด เศรษฐกิจ หรือปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้น ๆ
เงินปันผลเป็นผลตอบแทนอีกประเภทหนึ่งที่นักลงทุนได้รับจากการถือครองหุ้นของบริษัท โดยบริษัทที่ทำกำไรได้มักจะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นระยะให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งจำนวนเงินปันผลที่จ่ายขึ้นอยู่กับผลประกอบการและนโยบายของบริษัท
บริษัทที่มีชื่อเสียงในการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น Procter & Gamble, Coca-Cola และ Johnson & Johnson มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ข้อมูลจากการศึกษาตลาดในปี 2022 พบว่า Procter & Gamble จ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 2.5% ของราคาหุ้นต่อปี ซึ่งแสดงถึงผลตอบแทนที่ดีสำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในระยะยาว
เงินปันผลเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้คงที่จากการลงทุนในหุ้น และไม่ต้องการพึ่งพากำไรจากการซื้อขายหุ้นเพียงอย่างเดียว
นอกจาก Capital Gains และเงินปันผลแล้ว นักลงทุนบางรายอาจได้รับสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มเติมในราคาที่ลดลง (Stock Options) โดยทั่วไปจะมอบสิทธิ์นี้ให้กับพนักงานของบริษัทหรือนักลงทุนที่ถือหุ้นในบริษัทนั้น ๆ เป็นเวลานาน สิทธิ์นี้ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าตลาดและทำกำไรจากการขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้นได้
บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เช่น Facebook และ Google มักมอบ Stock Options ให้กับพนักงานเพื่อจูงใจในการทำงานและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท นักลงทุนที่มีสิทธิ์ซื้อหุ้นในราคาลดลงสามารถใช้ประโยชน์จาก Stock Options เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนระยะยาว
แม้ว่าการใช้สิทธิ์ในการโหวตจะไม่ใช่ผลตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับเงินโดยตรง แต่การถือหุ้นในบริษัททำให้นักลงทุนมีสิทธิ์ในการโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งสิทธินี้เป็นสิ่งสำคัญในกรณีที่นักลงทุนต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญของบริษัท เช่น การเลือกคณะกรรมการหรือการอนุมัติแผนการขยายธุรกิจ
การมีสิทธิ์ในการโหวตช่วยให้นักลงทุนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบริษัท โดยเฉพาะในบริษัทที่มีนโยบายในการขยายกิจการหรือตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น การควบรวมกิจการ นักลงทุนสามารถใช้สิทธิ์นี้เพื่อสนับสนุนหรือต่อต้านนโยบายที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้นในอนาคต
สำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อบริษัทมีการเติบโตและขยายกิจการ มูลค่าของหุ้นมักจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นเป็นเวลานานได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต
ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นของบริษัทอย่าง Microsoft และ Amazon มีการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในระยะเวลาหลายสิบปี ข้อมูลจากปี 2022 แสดงให้เห็นว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Microsoft เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% ซึ่งเป็นตัวอย่างของการเติบโตระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนที่มากมายแก่ผู้ถือหุ้นที่อดทนรอ
การลงทุนในหุ้นยังมีประโยชน์ในการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยการถือครองหุ้นจากหลายอุตสาหกรรม นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงที่เกิดจากการพึ่งพาสินทรัพย์ชนิดเดียวกัน การลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงแตกต่างกันจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุล
ในปี 2020 นักลงทุนที่กระจายพอร์ตการลงทุนโดยการถือหุ้นในหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีและสุขภาพ ได้รับผลตอบแทนที่ดีแม้ในช่วงวิกฤต COVID-19 การมีสินทรัพย์หลากหลายในพอร์ตการลงทุนช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนที่มากเกินไปเมื่อบางอุตสาหกรรมประสบปัญหา
การลงทุนในหุ้นเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดหุ้นมักเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ การลงทุนในบริษัทที่มีการปรับราคาสินค้าและบริการตามอัตราเงินเฟ้อช่วยให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในปี 2022 ข้อมูลจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์มีการเติบโตสูงขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวอย่างของการที่หุ้นสามารถป้องกันความเสี่ยงจากการลดค่าของเงินสดได้
การลงทุนในหุ้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่หลากหลาย ตั้งแต่กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น เงินปันผล สิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มเติม ไปจนถึงการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน การเข้าใจผลตอบแทนเหล่านี้และการเลือกหุ้นอย่างรอบคอบจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว