Exness: Premium Trading on Forex, Gold & Crypto. Your search for the BEST SPREAD ends here!
ตลาดทองเป็นหนึ่งในแหล่งการลงทุนที่มีความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่สามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาว ในขณะที่ตลาดเงินตราหรือหุ้นอาจผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ ตลาดทองกลับเป็นที่พึ่งทางการเงินในยามที่เกิดความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การจะลงทุนในทองคำให้ประสบความสำเร็จ การรู้เวลาที่ตลาดเปิดและปิด รวมถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มในตลาดทองคำ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับตลาดทอง โดยเน้นไปที่เวลาการเปิดของตลาด แนวโน้มในอุตสาหกรรม และคำแนะนำสำหรับนักลงทุน
ตลาดทองคำทั่วโลกมีการเปิดทำการแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแต่ละเขตเวลาและพื้นที่ที่นักลงทุนต้องการซื้อขาย ตลาดทองที่สำคัญมีดังนี้:
ตลาดทองลอนดอน (London Gold Market): ถือเป็นตลาดทองที่สำคัญมากที่สุดในโลก มีการซื้อขายระหว่างเวลา 8.00 น. - 17.00 น. (เวลาอังกฤษ)
ตลาดทองนิวยอร์ก (New York Gold Market): ซื้อขายระหว่างเวลา 8.20 น. - 13.30 น. (เวลานิวยอร์ก)
ตลาดทองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange): เป็นตลาดทองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีการซื้อขายระหว่างเวลา 9.00 น. - 15.30 น. (เวลาเซี่ยงไฮ้)
ตลาดทองโตเกียว (Tokyo Commodity Exchange): มีการซื้อขายในช่วง 9.00 น. - 11.30 น. และ 12.30 น. - 17.00 น. (เวลาโตเกียว)
การรู้เวลาที่ตลาดทองเปิดทำการช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างแม่นยำ และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการซื้อขายในช่วงเวลาที่มีความเคลื่อนไหวสูง
จากข้อมูลการวิจัยในปีที่ผ่านมา ราคาทองคำมีการผันผวนตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ได้แก่ การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินเฟ้อ และการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน นักลงทุนมักจะหันมาเก็บทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง
หนึ่งในสถิติที่น่าสนใจคือในช่วงปี 2023 ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสาเหตุหลักมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก สถาบันการเงินหลายแห่ง รวมถึง Goldman Sachs และ JP Morgan คาดการณ์ว่าราคาทองคำยังคงมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2024 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนที่สนใจในตลาดทองคำสามารถรับประโยชน์จากความผันผวนของราคาและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เอื้ออำนวย ซึ่งมีข้อดีหลายประการ เช่น:
การป้องกันความเสี่ยง: ทองคำมีคุณสมบัติที่สามารถรักษามูลค่าได้ในช่วงเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจถดถอย เมื่อค่าเงินลดลง ทองคำจะมีมูลค่าสูงขึ้น ทำให้เป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมในการป้องกันความเสี่ยง
สินทรัพย์ที่จับต้องได้: การลงทุนในทองคำเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้จริง ซึ่งต่างจากการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรที่เป็นเพียงการคาดการณ์มูลค่าในอนาคต
ความผันผวนต่ำในระยะยาว: แม้ว่าในระยะสั้น ราคาทองคำอาจมีความผันผวนบ้าง แต่ในระยะยาว ทองคำมีแนวโน้มที่จะรักษามูลค่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ
ปัจจุบันนักลงทุนสามารถเข้าถึงการซื้อขายทองคำได้ผ่านหลายช่องทางและแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียง ซึ่งรวมถึง:
Goldman Sachs: เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ให้บริการด้านการลงทุนในทองคำและมีการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างละเอียด ทำให้นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
SPDR Gold Shares (GLD): เป็นหนึ่งในกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนในทองคำได้อย่างสะดวก
ตลาดซื้อขายทองคำฟิวเจอร์ส (Gold Futures): นักลงทุนสามารถซื้อขายทองคำผ่านตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งเป็นวิธีที่นักลงทุนสามารถกำหนดราคาทองคำล่วงหน้าได้
การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้นักลงทุนมีความยืดหยุ่นในการเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมตามความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบราคาและติดตามแนวโน้มตลาดได้แบบเรียลไทม์
แม้ว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย แต่การลงทุนในทองคำก็มีความเสี่ยงเช่นกัน นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ชี้ว่าในบางกรณี ราคาทองคำอาจถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์และสภาพเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วเกินคาด ราคาทองคำอาจลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นนักลงทุนจึงควรทำการศึกษาและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ
การลงทุนในทองคำเป็นหนึ่งในวิธีที่นักลงทุนสามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม การรู้เวลาที่ตลาดเปิดทำการและติดตามแนวโน้มของตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้หวังว่าจะช่วยให้นักลงทุนทั้งมือใหม่และมืออาชีพสามารถตัดสินใจในการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น